เทรนด์แต่งอาคาร 3 มิติมาแรง บิ๊กธุรกิจผนึก บ.ต่างชาติเจาะตลาดรีโนเวตตึกเก่า

Cr. ฐานเศรษฐกิจ 4 พฤษภาคม 2559

“คัท แอนด์ คาฟท์”ชี้เทรนด์แปลงโฉมบ้านและอาคารมาแรง โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารรีโนเวททุก 2 ปี สร้างสรรค์บรรยากาศใหม่ดึงดูดลูกค้า ขณะอาคารทุก 3-5 ปี ตั้งเป้าผงาดขึ้นชั้น 1 ใน 3 รายใหญ่ของธุรกิจ ร่วมมือพันธมิตรต่างประเทศ ชูรูปแบบการตกแต่งหน้าอาคาร 3 มิติ

นายพันธุ์เทพ ลาภพิพิธมงคล กรรมการผู้จัดการบริษัท รอยัล อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตสินค้าตกแต่งอาคารแบรนด์ คัท แอนด์ คาฟท์ (CUT&CARVE) เปิดเผยว่า การตกแต่งหน้าอาคาร ( Façade ) เป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ตรงที่ช่วยเสริมสร้างความสวยงามอย่างมีเอกลักษณ์โดดเด่นให้กับอาคารแนวสูง บ้าน ศูนย์การค้า และอาคารพาณิชย์ โดยวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งหน้าอาคารหรือฟาซาดมีหลากหลาย ทั้งโลหะและอโลหะ ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้รอบของการปรับปรุงอาคารเร็วขึ้นมีระยะเวลา 3-5 ปี แต่ที่มาแรงคือธุรกิจร้านอาหารจะปรับทุก 2 ปี เพื่อดึงดูดลูกค้า

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2559 จะเน้นเจาะตลาดกลุ่มที่ต้องการรีโนเวทหรือตกแต่งเพิ่มเติม มีทั้งอาคาร และอาคารพาณิชย์ ด้วยนวัตกรรมการทำผนังห่อหุ้นอาคารแบบ 3 มิติ (3D Façade) ซึ่งตลาดกลุ่มนี้มีโอกาสในการขยายธุรกิจเพราะปัจจุบันที่ดินในเมืองหายาก ตึกแถวเก่ามีจำนวนมากและส่วนใหญ่อยู่ในย่านที่ดินแพง การสร้างอาคารใหม่บนพื้นที่ดินที่ยังว่างก็ทำได้ยากและใช้งบประมาณมากดังนั้นการรีโนเวทตึกเก่าจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม และกลยุทธ์เจาะตลาดของบริษัทคือ ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และใช้งบประมาณไม่สูง ล่าสุดได้แปลงโฉมตึกแถวย่านจุฬา ให้สวยงาม

“เราคิดว่าถ้ามีโอกาสได้รีโนเวทตึกเก่า เช่น ตึกแถวที่ดูโทรมๆ ก็อาจจะช่วยให้เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ดูทันสมัย สวยงาม มีสีสันด้วยรูปร่างและลวดลายของอาคาร ดังเช่นมหานครอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงเน้นโครงการรีโนเวทเนรมิตตึกแถวภายใน 7 วัน และด้วยเหตุที่เราศึกษาเทรนด์จากเมืองนอก และนำเทรนด์เมืองนอกมาประยุกต์ให้เข้ากับงานดีไซน์สิ่งก่อสร้างบ้านและอาคารของไทยอย่างเหมาะสม การตกแต่ง Façade นอกจากจะทำให้สวยงามแล้วยังช่วยระบายอากาศ จึงเหมาะกับเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองร้อน”

โดยจุดเด่นของ คัท แอนด์ คาฟท์ ที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่งคือการเป็นมากกว่าโรงงานตัดฉลุลาย เพราะนำเสนอเทคนิค ตัด เจาะ ทำลวดลายหลายรูปแบบซึ่งสามารถตอบโจทย์งานดีไซน์ที่หลากหลายของลูกค้ามีทีมพัฒนาและวิจัยของเราเอง ที่พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเน้นเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้งานมีคุณภาพ เช่นเดียวกับวัสดุที่ต้องมีคุณภาพสูงตามมาตรฐานงานก่อสร้างและเป็นมิตรกับส่งแวดล้อมนอกจากนี้ เราไม่ได้เน้นการขายสินค้าแต่อย่างเดียวแต่ยังเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและคิดหาโซลูชั่นในงานออกแบบให้ออกมาเป็นผลงานได้จริงโดยคำนึงถึงดีไซน์และงบประมาณควบคู่กันซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจของบริษัทประสบความสำเร็จและโตขึ้นต่อเนื่องคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า20% มียอดจากการจัดจำหน่ายมากกว่า 100 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการแปลงโฉมบ้านและอาคารติด 1 ของ 3 ของธุรกิจ

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายในปัจจุบันจะเน้นกลุ่มคอมมูนิตี้ กลุ่มโรงแรม และกลุ่มผู้ที่ต้องรีโนเวทอาคารโดยเฉพาะตึกแถวเก่าตั้งเป้าจะขยายกลุ่มเป้าหมายขึ้น 20% ทุกปี และตลาดที่กำลังทำ คือ Virgin Market โดยสร้างความต้องการใหม่ และเปลี่ยนสิ่งที่มีอยู่เดิมในตลาด พร้อมนำเสนอทั้งฟังก์ชั่นและดีไซน์ที่ต้องมาควบคู่กันโดย Façade Technology ของ คัท แอนด์ คาฟท์ จะมีองค์ประกอบ 3ส่วนคือ วัสดุ การออกแบบ และงบประมาณ ของลูกค้า เพื่อสะท้อนแนวคิดที่ว่า “แตกต่าง ทำได้ สร้างจริง”

นายพันธุ์เทพกล่าวว่า ส่วนธุรกิจอื่นในกลางปีนี้จะเปิดโชว์รูมที่จังหวัดภูเก็ต นอกจากโรงงานปัจจุบันซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ และมี Strategic partner ที่จังหวัดเชียงใหม่ ด้านการลงทุนเราจะเน้นลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อรองรับงาน Façade Solutions นอกจากนี้จะขยายพันธมิตรทางธุรกิจกับแบรนด์ต่างประเทศ โดยร่วมมือกับ Kingspan และ EQUITONE เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและสรรหาวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ โดยเน้นนวัตกรรมของวัสดุสมัยใหม่ที่เป็นเทรนด์ของโลก ซึ่งนอกจากต้องมีคุณภาพสูงแล้ว ยังควรเป็นมิตรกับส่งแวดล้อมสามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ตามหลักการของ Green Building Material รวมทั้งวัสดุทดแทนธรรมชาติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมของงานก่อสร้างในอนาคตอีกด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,154 วันที่ 5 – 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559