Cr. Bangkok Citismart 16 Feb 2016
นิยามของ คอนโดมือสอง = คอนโดที่ซื้อต่อจากคนอื่นที่ไม่ใช่ดีเวลลอปเปอร์ ผู้ซื้อเป็นผู้ที่ทำสัญญากับเจ้าของห้องโดยตรง ในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดที่สร้างเสร็จแล้ว ผู้ซื้อจะสามารถเห็นสภาพห้องจริงชัดเจน ตรงไหนต้องเติม ต้องแก้อย่างไร จะได้คำนวนถูก แถมยังสามารถตรวจสอบ ถามประวัติระบบการทำงานและการบริหารงานของนิติฯ คอนโด ปัจจุบันจากลูกบ้านได้อีกด้วย
ซื้อคอนโดมือสอง ต้องดูอะไรบ้าง (กล่าวในแง่ของกรณีที่ซื้ออาศัยอยู่เอง)
1. วิเคราะห์ทำเล สภาพการจราจร บรรยากาศการอยู่อาศัย ทิศทางที่ตั้ง
ทำเล ที่ตั้งและสภาพการจราจร ก็จะพิจารณาคล้ายๆกับปัจจัยโดยรวมทั่วไป ไม่ว่าจะซื้อคอนโดขึ้นใหม่ หรือ ซื้อคอนโดมือสอง ทำเลก็ต้องดูว่าตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ ถ้าเราต้องการซื้อคอนโดมือสอง เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นหลัก เราอาจจะหาข้อมูลเปรียบเทียบพื้นที่ทำเลต่างๆ ว่าคอนโดไหนอยู่แล้ว ไปทำงานสะดวกกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็น คอนโดใกล้รถไฟฟ้า คอนโดติดถนนใหญ่ คอนโดย่านใจกลางเมือง ทิศทางที่ตั้งก็เช่นกัน ควรทราบว่า ห้องมือสองเหมือนกัน ตึกเดียวกัน สเปคเท่ากันทุกอย่างแต่อยู่คนละด้านของตึก ราคามูลค่าห้องก็จะต่างกัน เพราะทิศทางลม และวิวของหน้าต่างห้องก็มีผลต่อการใช้ชีวิต ด้านภาพรวมของโครงการต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ดูจากสิ่งที่ล้อมรอบตัวคอนโดแล้วเรารู้สึกชอบ เช่นอากาศดี ไม่มีเสียงดังรบกวน ปลอดกลิ่นและควันพิษ เป็นต้น
2. ราคาคอนโดเปรียบเทียบกับ ค่าส่วนกลาง – ค่ากองทุน
ในส่วนของการเปรียบเทียบราคา ว่าคุ้มหรือไม่คุ้มนั้นสามารถดูจากปัจจัยเดียวกันกับการซื้อคอนโดมือหนึ่งได้เลย แต่การซื้อคอนโดมือสอง จะมีข้อดีเรื่องที่ ไม่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางล่วงหน้าหนึ่งปี ไม่ต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุน ในราคาที่เท่า ๆ กัน น่าจะเป็นการประหยัดไปได้ส่วนหนึ่ง และส่วนใหญ่คอนโดที่สร้างเสร็จมานานแล้ว จะมีค่าส่วนกลางต่อ ตร.ม. น้อยกว่า คอนโดมือหนึ่งที่เพิ่งขึ้นใหม่ เพราะคอนโดรุ่นใหม่มีพื้นที่ต่อห้องน้อย ค่าส่วนกลางต่อ ตร.ม. จึงแพงขึ้นนั้นเอง
3. พื้นที่ใช้สอย
ในย่านเดียวกัน ราคาต่อยูนิตเท่า ๆ กัน คอนโดมือหนึ่งที่สร้างใหม่ ราคาต่อพื้นที่จะแพงกว่ามือสองค่อนข้างเยอะ ยกตัวอย่างเช่น คอนโดมือสองแถวรัชดา ราคา 2.5 ล้าน ได้เนื้อที่ 35 ตร.ม. แต่ในขณะที่ คอนโดใหม่ที่กำลังสร้าง ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ราคา 2.5 ล้านเท่ากัน ได้เนื้อที่เพียง 24 ตร.ม. เท่านั้นเอง เมื่อหารเป็นราคาต่อพื้นที่มาแล้ว จะพบกว่า ซื้อคอนโดมือสอง คุ้มค่ากว่ามาก
4. วิเคราะห์สภาพห้อง ได้บรรยากาศจริง
สามารถไปดูบรรยากาศการใช้ชีวิตในห้องได้จริง เห็นผนัง เพดานจริง เฟอร์นิเจอร์จริง ห้องสร้างเสร็จพร้อมอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่ดูผ่านห้องตัวอย่าง ส่วนบรรยากาศภายในห้องมือสองที่ควรจะเป็น คือ ไม่อึดอัด โปร่งโล่ง รู้สึกสบายเวลาอยู่อาศัย สภาพของห้อง ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง เพดาน ฝ้า ต้องดูไม่เก่าจนเกินไป ไม่มีอะไรแตกหัก ทรุดโทรม ซึ่งผู้ซื้อต้องทำการตรวจเช็คสภาพภายในห้องให้ดีก่อนที่จะ ตัดสินใจซื้อ ถ้าซื้อไปแล้วจะมาขอแก้ไขทีหลัง อาจจะยุ่งยากได้
5. เหตุผลในการขาย / ข้อมูลจากลูกบ้าน / การทำงานนิติฯ
ในการซื้อคอนโดมือสอง ปัจจัยนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตรวจสอบ มันก็เหมือนกับการที่เราจะซื้อรถมือสอง เราก็อยากจะทราบประวัติความเป็นมา รถเคยไปชนมาหรือไม่ มีอุบัติเหตุมาก่อนหรือไม่ ถ้าเหตุผลในการขายห้องเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติขึ้นไป แม้เป็นที่แน่ชัดว่า เจ้าของคนเก่าคงไม่บอก แต่เราสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลจากห้องข้างๆ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ ณ คอนโดนั้นได้ ว่ามีเรื่อง/เหตุการณ์อะไรที่ไม่น่าไว้ใจเคยเกิดขึ้นหรือไม่ บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่จับต้องได้ อย่างเคยมีประวัติลูกบ้านโดนขโมยของ นิติฯ ทำงานล่าช้า ฯลฯ ปัญหาข้อมูลแง่ลบเหล่านี้ อาจจะเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตในภายภาคหน้าก็เป็นได้ เช่น ในอนาคตอยากขายห้องต่อ ก็หาคนมาซื้อยาก เป็นต้น
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่เราควรทราบไว้สำหรับการซื้อคอนโดมือสอง อาทิเช่น หลังจากที่เราทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์แล้ว เราสามารถทำอะไรได้บ้าง กฏระเบียบคอนโดนั้นๆ มีไว้อย่างไร เราสามารถปล่อยเช่าได้มั้ย ทั้งนี้เนื่องจากบางคนที่ตอนแรกตั้งใจจะซื้อเพื่ออยู่อาศัย แต่อาจอยากเปลี่ยนใจมาปล่อยให้เช่าในภายหลัง จึงต้องศึกษาข้อตกลงของแต่ละคอนโดให้ดี หรืออีกกรณีคือ บางคนกำลังจะซื้อคอนโดมือสอง แต่เกิดเปลี่ยนใจเพราะไม่ชอบบรรยากาศโดยรวม เลยตัดสินใจจะไปซื้อคอนโดขึ้นใหม่ เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การรู้ความต้องการของตนเองว่าชอบแบบไหน ยิ่งคำนวนในอีก 5-10 ปีข้างหน้าด้วยก็ยิ่งดี บางคนซื้อแล้วมองแค่ปัจจุบันคิดว่าอยากอยู่เอง ไม่ได้เอามาปล่อยเช่าแน่นอน แต่พอเวลาผ่านไปหลายปี มีโอกาสย้ายที่อยู่ ย้ายที่ทำงาน หรือเลื่อนตำแหน่งที่ดีขึ้น เลยต้องการปล่อยเช่า แต่ทำไม่ได้เพราะตอนแรกไม่ได้ศึกษากฏของคอนโด ฉะนั้น การที่เราสามารถวิเคราะห์ คาดการณ์สถานการณ์ ของตนเองล่วงหน้าได้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งส่งผลให้เราใช้โอกาสที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น