Cr. ประชาชาติธุรกิจ 4 เมษายน 2559
กทม.จ้างกรุงเทพธนาคม-บีทีเอส 30 ปี เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยาย "หมอชิต-คูคต" และ "แบริ่ง-สมุทรปราการ" รวม 31.5 กม. จ่ายปีละกว่า 1 พันล้าน แก้ปัญหาไร้รอยต่อ เตรียมเจรจาคลังกู้ 8 หมื่นล้าน จ่ายหนี้คืน รฟม. พ่วงค่าติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ไฟฟ้าและสื่อสาร ต่อรองจ่ายคืนปีที่ 11-30 ปลอดหนี้ 10 ปี บีทีเอสทุ่มกว่า 1 หมื่นล้าน ซื้อรถเพิ่ม 36 ขบวน ดึงผู้ผลิตทั่วโลกยื่นประมูล ทั้งจีน เกาหลี เยอรมนี ฝรั่งเศส แคนาดา สเปน ปลายปีนำร่องเปิดใช้ถึงสำโรง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เห็นชอบให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นผู้บริหารการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จึงมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเจรจากับ กทม. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และกระทรวงการคลัง ในการบริหารจัดการเดินรถและเงื่อนไขทางการเงิน ซึ่งทุกหน่วยเห็นชอบให้มีการจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ขึ้น
ถ่ายโอนหนี้ 6 หมื่นล้านให้ กทม.
"รายละเอียดของบันทึกคือ การบริหารงานก่อสร้างโยธาเป็นความรับผิดชอบของ รฟม. เมื่อ กทม.รับโครงการนี้ไปแล้ว กทม.ต้องรับภาระหนี้สิน ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และภาระผูกพันอื่น ๆ ที่ รฟม.ใช้ในการดำเนินโครงการ โดย กทม.ต้องเร่งจัดการเดินรถโดยเร็ว และหากมีการเปลี่ยนงานโยธา หรืองานอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น กทม.ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ"
นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 2 คณะ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือ ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการประเมินมูลค่าหนี้สิน และทรัพย์สิน ขั้นตอนทางการเงิน และงบประมาณ ทำหน้าที่ประเมินมูลค่าหนี้สินและทรัพย์สิน รวมทั้งกำหนดขั้นตอนและวิธีโอนที่เกี่ยวข้องกับเงินกู้ภาครัฐ และ 2.คณะกรรมการประสานงานด้านเทคนิคและการเดินรถ สนับสนุนให้สามารถดำเนินการติดตั้งและทดสอบรถไฟฟ้า
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ความร่วมมือกันครั้งนี้เป็นมิติใหม่ โดย รฟม.เป็นผู้ก่อสร้างมอบให้ กทม.บริหารจัดการ เพื่อให้ประชาชนเดินทางสะดวก ปลอดภัย และประหยัด อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ กทม.ได้มีระบบรถไฟฟ้านอกเขตพื้นที่เป็นครั้งแรก ต้องเจรจากับจังหวัดสมุทรปราการเพื่อขอใช้พื้นที่ต่อไป
ด้านการชำระหนี้กว่า 6 หมื่นล้านบาท ให้ รฟม. แยกเป็นช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต วงเงิน 39,774 ล้านบาท และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ 21,086 ล้านบาท จะมีคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณา ในหลักการไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นหน่วยงานรัฐ ส่วนการเดินรถจะจ้างบีทีเอส ทำให้เปิดบริการได้เร็วขึ้น คาดว่าปีนี้จะเปิดช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ได้ 1 สถานี จากแบริ่ง-สำโรง
จ้างบีทีเอส 30 ปี เดินรถ
แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กทม.จะจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) รัฐวิสาหกิจของ กทม. ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ระบบไฟฟ้า การสื่อสาร และเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 18.7 กม. และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ 12.8 กม. รวม 31.5 กม. เป็นระยะเวลา 30 ปี จากนั้นกรุงเทพธนาคมจะจ้าง บมจ.ระบบขนส่งกรุงเทพ หรือบีทีเอสซี ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เดินรถให้ 30 ปีเช่นเดียวกัน
"วิธีการจ้างเป็นโมเดลเดียวกับที่จ้างบีทีเอสเดินรถช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง 5.3 กม. และตากสิน-บางหว้า 7.4 กม. โดยจ้างปีต่อปีต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 30 ปี ใช้งบประมาณ กทม. ส่วนค่าก่อสร้างที่ กทม.ชำระคืนให้ รฟม.จะเป็นเงินกู้ระยะยาวตามที่ รฟม.กู้ไว้เดิม แต่เปลี่ยนลูกหนี้จาก รฟม.เป็น กทม. จะหารือกับกระทรวงการคลังว่า กทม.จะชำระหนี้คืนได้เมื่อไหร่ เดิมเสนอจะคืนให้ปีที่ 11-30 มีระยะปลดหนี้ 10 ปีแรกของสัมปทาน ตอนนี้ยังมีเวลาเพราะกว่าช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการจะสร้างเสร็จปลายปีนี้ ส่วนช่วงหมอชิต-คูคตจะเสร็จปี′63"
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับวงเงินจัดจ้างติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและขบวนรถทั้ง 2 เส้นทาง คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แยกเป็นช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ 9,120 ล้านบาท และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ประมาณ 20,055 ล้านบาท
ซึ่งก่อนหน้านี้ บีทีเอสเสนอรูปแบบการลงทุนช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จะลงทุนงานโยธา (ไม่รวมศูนย์ซ่อมบำรุง) และงานระบบรถไฟฟ้า (ไม่รวมตัวรถ) ให้รัฐบาลชำระคืน 10 งวด งวดละ 1 ปี รวม 10 ปี นับจากวันเปิดให้บริการครบทุกสถานี ส่วนช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ทางบีทีเอสซีเสนอลงทุนงานระบบรถไฟฟ้า ไม่รวมตัวรถ ให้รัฐบาลชำระคืน 10 งวด งวดละ 1 ปี รวม 10 ปีเช่นกัน
อีกทั้งบริษัทยังได้เสนอรูปแบบการเดินรถและผลตอบแทนให้พิจารณา โดยตั้งแต่เปิดให้บริการครบทุกสถานีจนถึง 4 ธ.ค. 2572 รวม 15 ปี บริษัทขอรับสิทธิ์สัมปทานในการรับรายได้ค่าโดยสารและการใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ และตั้งแต่ 5 ธ.ค. 2572 ถึง 4 ธ.ค. 2602 รวม 30 ปี บริษัทจะรับค่าจ้างการเดินรถและบำรุงรักษาระบบ กับได้รับสิทธิ์ในการใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ส่วนกรณีผลตอบแทนเฉลี่ยตลอดอายุโครงการเกิน 12% บริษัทจะแบ่งผลประโยชน์ของส่วนที่เกิน 12% ให้กับรัฐบาล
ทุ่มหมื่นล้านซื้อรถเพิ่ม
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือบีทีเอสซี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทพร้อมจะเดินรถให้ กทม. เตรียมเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซื้อขบวนรถเพิ่มแล้ว จำนวน 36 ขบวน ขบวนละ 4 ตู้ รวม 144 ตู้ แยกเป็นสำหรับช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ 15 ขบวน และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 21 ขบวน
ขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดประมูล โดยเชิญผู้ผลิตรถไฟฟ้าจากทั่วโลกมาร่วมเสนอราคา อาทิ บริษัท โรเทมส์ (Rotem) และฮุนไดจากประเทศเกาหลีใต้, บริษัท CRC จากประเทศจีน, บริษัท ซีเมนส์ จากประเทศเยอรมนี, บริษัท บอมบาดิเอร์จากประเทศแคนาดา, บริษัท อัลสตรอมจากประเทศฝรั่งเศส, บริษัท CAF จากประเทศสเปน ส่วนบริษัท J-TREC กับคาวาซากิ ผู้ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ไม่สนใจจะเข้าร่วม
สำหรับระบบอาณัติสัญญาณ บริษัทได้ติดตั้งของบอมบาดิเอร์ ซึ่งส่วนต่อขยายทาง กทม.น่าจะใช้ระบบเดียวกัน เพื่อให้การเดินรถไม่สะดุดและง่ายต่อการซ่อมบำรุงในระยะยาว ส่วนการรับจ้างเดินรถจากกรุงเทพธนาคมนั้น ยังไม่ได้เจรจาในรายละเอียด จะจ้างเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ แต่เพื่อให้ประหยัดควรจะจ้างเป็นระยะยาว ที่ไม่ใช่รูปแบบสัมปทาน โดยต่ออายุการจ้างทุกปี เช่น 10 ปี 20 ปี 30 ปี
"ค่าจ้างเดินรถจะอ้างอิงระยะเวลาการจ้าง จำนวนรถที่วิ่ง อาจจะเป็นราคาเดียวกับที่ กทม.เคยจ้างบีทีเอสเดินรถส่วนต่อขยาย เพราะงานคล้ายคลึงกัน เฉลี่ยปีละ 1,000 กว่าล้านบาท "
หากจ้างบีทีเอสเดินรถ จะทำให้การเดินรถต่อเนื่องและเปิดใช้เส้นทางแบริ่ง-สมุทรปราการเร็วขึ้น จะทยอยเปิดบริการ หลังเริ่มงานใน 1 ปี เปิดได้ 1 สถานี จากแบริ่ง-สำโรง เพราะบริษัทมีขบวนรถเดิมรองรับอยู่แล้ว ระหว่างรอรถขบวนใหม่จะใช้เวลาผลิต 2 ปี โดยจะสามารถเปิดได้ตลอดเส้นทางภายใน 2 ปีครึ่ง จะทำให้บริษัทมีผู้โดยสารใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 หมื่นเที่ยวคนต่อวัน ที่เข้ามาเติมในระบบเดิมของบีทีเอส ที่มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 7 แสนเที่ยวคนต่อวัน