เช็กความพร้อมกำลังผลิตบ้านคนจนฉบับร่วมทุนรัฐ-เอกชน สำรวจ 6 บริษัทอสังหาฯ มีโรงงานพรีแฟบในมือกำลังผลิตรวมกว่า 4.88 ล้าน ตร.ม./ปี "เพอร์เฟค" แบะท่าเล็งหาทางลดต้นทุนพัฒนา 1,000-2,000 ยูนิต "พฤกษา-คิวเฮ้าส์-แสนสิริ" ยังแบ่งรับแบ่งสู้ "LPN" คิดหนักสร้าง 1,000 หน่วยติดปัญหาอีกมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในวันที่ 16 พ.ย.นี้ จะครบกำหนด 30 วันในการติดตามนโยบายบ้านผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล แนวคิดจะต้องมีราคาไม่เกิน 6 แสนบาท/ยูนิต เพื่อให้ผู้ซื้อมีภาระผ่อน 3,000-4,000 บาท/เดือน รองรับครัวเรือนที่มีรายได้ 15,000 บาท ตามแผนรัฐบาลต้องการลงทุนก่อสร้าง 2.7 ล้านยูนิต ภายใน 10 ปี(2559-2568) เฉลี่ยปีละ 2.7 แสนยูนิต
สำรวจพรีแฟบ 5 ล้าน ตร.ม.
แนวทางคือรัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในรูปแบบโซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์ โดยรัฐเป็นผู้จัดหาที่ดินและสิทธิประโยชน์ อาทิ ด้านภาษีและบีโอไอ (ส่งเสริมการลงทุน) ส่วนเอกชนรับผิดชอบด้านการก่อสร้างและการขาย
จากการสำรวจบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีโรงงานพรีแฟบในเครือซึ่งเป็นผนังคอนกรีตสำเร็จรูปทำให้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยรวดเร็วกว่าการก่ออิฐฉาบปูนและผลิตได้จำนวนมาก ตรงตามความต้องการพัฒนาบ้านคนจนของรัฐบาล พบว่า 6 ราย กำลังผลิตรวมกัน 4.88 ล้าน ตร.ม./ปี
เพอร์เฟคสนลงทุน
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีความสนใจร่วมทุนกับรัฐบาลพัฒนาโครงการปีละ 1,000-2,000 หน่วย แต่ต้องหาทางลดต้นทุนมากกว่าปกติ ที่ผ่านมาบริษัททำราคาต่ำสุดคือคอนโดมิเนียมแบรนด์ไอคอนโด กับหอพักราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาท ตกปีละ 2,000 ยูนิตอยู่แล้ว หากจะทำราคาให้ได้ตามรัฐต้องการ ต้องลดต้นทุนมากกว่า 50%
พฤกษา-แสนสิริรอเงื่อนไข
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่าปัญหาหลักที่พฤกษายังต้องการรายละเอียดคือที่ดินที่รัฐจะจัดหาให้ หากร่วมลงทุนบริษัทต้องแตกแบรนด์ใหม่สำหรับบ้านเซ็กเมนต์นี้โดยเฉพาะ ที่ดินจะต้องมีศักยภาพ การคมนาคมเข้าถึง โดยพฤกษามีโรงงานระบบก่อสร้างสำเร็จรูปหรือพรีแฟบ 7 โรง กำลังผลิตรวม 1,120 ยูนิต/เดือน ปัจจุบันยังใช้ไม่เต็มกำลังผลิต
QH กังขาแนวทางดูแลชุมชน
แหล่งข่าวจาก บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ กล่าวว่า ต้องรอดูนโยบายรัฐให้ชัดเจนกว่านี้ จุดอ่อนมี 2 เรื่อง 1.ทำเลต้องมีศักยภาพ 2.รัฐจัดหาที่ดินให้แล้วต้องเตรียมวงเงินกู้ผ่านธนาคารของรัฐ (ธ.ออมสิน กรุงไทย อาคารสงเคราะห์) สำหรับปล่อยกู้ด้วย จึงจะดึงดูดให้เอกชนเข้ามาร่วมทุน
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า การก่อสร้างจำนวนมากภาคเอกชนสามารถทำได้ แต่สร้างไปแล้วมีคนซื้อจริงหรือไม่ ข้อแนะนำคือควรจะอิงข้อมูลการสร้างบ้านผู้มีรายได้น้อยของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เช่น ถ้าหากก่อสร้างปีละ 5 หมื่นยูนิต นโยบายบ้านคนจนของรัฐบาลครั้งนี้ก็อาจจะบวกเพิ่ม 10-20% เป็นปีละ 6 หมื่นยูนิต เป็นต้น
LPN หืดจับพัฒนา 1,000 ยูนิต
สอดคล้องกับนายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า โครงการนี้มีประโยชน์ต่อสังคมแต่อาจจะไม่ง่ายในทางปฏิบัติ เพราะบริษัทยังต้องทำกำไร และผู้ถือหุ้นต้องการผลตอบแทนการลงทุน ต้องรอดูความชัดเจนเพิ่มเติมจากรัฐบาล ถึงแม้ดีมานด์ลูกค้าผู้มีรายได้น้อยมีจำนวนมากก็จริง แต่รัฐบาลชักชวนเอกชนร่วมทุนยังมีปัญหา ตั้งแต่ที่ดินต้องเป็นทำเลที่ดี เครดิตการกู้ซื้อบ้าน ที่สำคัญยังมีเรื่องการดูแลชุมชนหลังโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด เนื่องจากหากใช้โมเดลเอกชนร่วมทุนกับรัฐ ทำให้ไม่มีเจ้าภาพบริหารงานบริการหลังการขาย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1446698226
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 5 พฤศจิกายน 2558