Cr. ประชาชาติธุรกิจและหนังสือพิมพ์ข่าวสด 1 มีนาคม 2559
คณะกรรมการ "พีพีพี" ไฟเขียวดึงเอกชนร่วมลงทุนรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง วงเงินรวมกันกว่าแสนล้าน เร่งให้งานเร็วขึ้น ชงเข้า ครม.ก่อนเปิดประมูลในเดือน มิ.ย. ตั้งเป้าเดินรถได้ในปี 2563
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) ซึ่งมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือรฟม.ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี) วงเงินลงทุน 56,691 ล้านบาท และสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) วงเงินลงทุน 54,644 ล้านบาท
ถือเป็นโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของกรุงเทพฯชุดแรกที่ผ่านระบบพีพีพี ฟาสต์แทร็ก หรือการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ที่ลดขั้นตอนการจัดเตรียมและนำเสนอโครงการจาก 2 ปี เหลือเพียง 9 เดือน
"รถไฟฟ้าทั้ง 2 สายจะเป็นระบบรถไฟฟ้าโมโนเรลหรือระบบรางเดี่ยวยกระดับ โดยรัฐเป็นผู้รับผิดชอบค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและให้ภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่าระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารการเดินรถและค่าซ่อมบำรุง โดยให้เอกชนร่วมลงทุนเป็นเวลา 30 ปี และเป็นผู้จัดเก็บ ค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสาร"
รถไฟฟ้าทั้ง 2 สายนี้ ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนงานโยธาแทนรัฐ ที่ประชุมจึงกำหนดให้มีการสนับสนุนแก่เอกชนไม่เกินมูลค่างานโยธา (เน็ตคอสต์) สายละไม่เกิน 20,000 ล้านบาท เพื่อดึงดูดให้มีเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน คาดว่าจะนำรายละเอียดทั้งหมดให้ครม.พิจารณาได้ในเดือนมี.ค.นี้ รวมทั้งจะจัดตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนและจัดทำร่างสัญญาการประมูลในเดือนพ.ค. ก่อนเปิดประมูลในเดือนมิ.ย. และคาดว่าเปิดให้บริการเดินรถได้ในปี 2563
การให้เอกชนเข้ามาลงทุนทั้งหมด เพราะไม่ต้องการให้ซ้ำรอยรถไฟฟ้าสายสีม่วงอีก ที่บอกว่าได้ประหยัดต้นทุนของรัฐมาก ซึ่งไม่รู้ว่าประหยัดต้นทุนจริงหรือไม่ เพราะขณะนี้สร้างเสร็จมาแล้ว 2 ปี แต่ประชาชนยังไม่ได้เข้าไปใช้ประโยชน์
นอกจากนี้คณะกรรมการพีพีพี ยังได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (ช่วงหัวลำโพง-บางแคและช่วงบางซื่อ-ท่าพระ) และโครงการมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ซึ่งทั้ง 3 โครงการยังเดินหน้าได้ตามกำหนด