รัฐบาลคลอดมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ด้านหนึ่งเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกันก็เพื่อกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดการซื้อขายหมุนเวียนเร็วขึ้น และส่งผ่านไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ตกแต่ง รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยการมอบหมายธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ปล่อยกู้ผู้ซื้อบ้านวงเงินเบื้องต้น 10,000 ล้านบาท พร้อมผ่อนปรนในการพิจารณาสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ หรือดีเอสอาร์ เป็น 40-50% ของรายได้สุทธิต่อเดือน จากเดิมให้เพียง 33.33% ทำให้กู้ได้วงเงินกู้มากขึ้น มีกำหนดเปิดให้ยื่นขอสินเชื่อภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป
ด้านมาตรการคลังได้ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองลงเหลือ 0.01% เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อเร่งให้เกิดการโอนสิ้นสุดช่วงเดือนเมษายน 2559 รวมทั้งได้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 20% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ระยะเวลา 5 ปี แบ่งใช้สิทธิเป็นจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละปีภาษี ให้แก่ผู้ซื้อบ้านมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยต้องซื้อและโอนบ้านภายใน 31 ธันวาคม 2559
ได้รับเสียงขานรับจากผู้ประกอบการอสังหาฯชนิดอื้ออึง "ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" นายกสมาคมอาคารชุดไทย มองว่า มาตรการที่ออกมาจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ให้เติบโตเพิ่มมากขึ้นเป็น 13% เป็น 3.3 แสนล้านบาท จากปี 2557 ที่มีมูลค่าตลาดรวม 2.93 แสนล้านบาท เดิมคาดว่าจะเติบโตเพียง 7% มูลค่า 3.1 แสนล้านบาท โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 4 นี้น่าจะเติบโตกว่า 20-30% ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้จะมีการโอนบ้านมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 80,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์อีก 40,000 ล้านบาท คาดว่าจะโอนได้ทั้งหมด และยังไม่รวมการขายสต๊อกบ้านสร้างเสร็จอีกจำนวนหนึ่ง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงปลายปีจะมีความคึกคักต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า
นายกประเสริฐบอกว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้มากที่สุดคือ ผู้กำลังโอนบ้าน เป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการโอนที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น จากที่ผ่านมาผู้ประกอบการต้องประสบปัญหาลูกค้าชะลอการโอน เนื่องจากไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจ จึงไม่อยากก่อหนี้ที่มีมูลค่ามากและยังต้องผ่อนชำระอีก 20-30 ปี รวมทั้งปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง จากข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ประมาณการที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ โดยในปี 2558 มีจำนวน 96,040 ยูนิต โดยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีอยู่กว่า 61,930 ยูนิต และในปี 2559 จะมีที่อยู่อาศัยพร้อมโอนกรรมสิทธิ์อีกกว่า 86,540 ยูนิต และกว่า 41,710 ยูนิต เป็นระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
ขณะที่บรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายจะสามารถระบายสต๊อกที่สร้างเสร็จพร้อมโอนได้ง่ายขึ้นจากภาวะสินค้าล้นตลาด โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม เนื่องจากช่วง 2-3 ปีมานี้เร่งเปิดคอนโดมิเนียมมากและกำหนดแล้วเสร็จส่วนใหญ่ในปีนี้ หากสามารถโละสต๊อกเหล่านี้ได้ ผู้ระกอบการจะลดภาระทางการเงินที่ต้องถือครองสินทรัพย์เหล่านี้และยังทำให้ได้เงินกลับมาเพื่อนำไปลงทุนต่อยอดโครงการใหม่
หลังจากนี้ต้องติดตามเป้าหมายการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลครั้งนี้จะให้ผลเป็นไปตามที่หลายผ่านคาดหวังไว้หรือไม่
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1444968604
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 16 ตุลาคม 2558