แม้จะประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 กับ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ. 2558 "ว่าด้วยการรับให้" ได้ตามเจตนารมณ์ที่วางไว้ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 5 ส.ค. 2558 หรือประมาณต้นเดือน ก.พ. 2559 แต่ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...ซึ่งถูกนำกลับมาทบทวนตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. 2558 ที่ผ่านมา ถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อได้หรือไม่
เพราะภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องประชาชนและภาคเอกชนต่างได้รับผลกระทบรายได้ กำลังซื้อหด การบริโภค การลงทุนชะลอตาม การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อาจเจอแรงต้านกลายเป็นเผือกร้อนในมือรัฐบาลได้
ล่าสุด นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงกับต้องออกมาดับกระแสกระทรวงการคลังจะเร่งชงร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รอบใหม่ หลังนำร่างกฎหมายดังกล่าวมาศึกษาทบทวนตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใกล้แล้วเสร็จ
เพราะแรงต้านร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ แม้ดูเหมือนเงียบสงบ แต่เปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำ ทำให้รัฐบาลต้องพลิกแผนรุกรับ ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมแผนเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณอุดหนุนลดน้อยลง อย่างปี 2559 แม้ท้องถิ่นจะได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2558 แต่ได้รับงบฯอุดหนุนเพียงแค่ 48,000 ล้านบาท น้อยกว่าปี 2558 ที่ได้รับงบฯอุดหนุนรวม 58,000 ล้านบาท เมื่อการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯไม่บรรลุผล และอาจต้องใช้เวลานาน จึงต้องหันมาจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เพิ่มขึ้น
ทั้งที่ตามเจตนารมณ์เดิมหากประกาศบังคับใช้พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯได้สำเร็จจะยกเลิก พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2507 กับ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ซึ่งล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับฐานภาษี อัตราภาษี และการจัดเก็บภาษี ที่สำคัญการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น โดยช่วง 3 ปีแรกซึ่งเป็นช่วงที่จะมีมาตรการบรรเทาภาษี รัฐจะมีรายได้ประมาณ 8.2 หมื่นล้านบาท จากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไปรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 9.7 หมื่นล้านบาท
แต่เมื่อรูปการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ ขณะที่ความจำเป็นที่จะต้องหารายได้ให้ท้องถิ่นเพิ่มมีมากขึ้นตามลำดับ ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้กระทรวงมหาดไทยหาวิธีจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เพิ่ม ด้วยการปรับแก้กฎหมายโดยแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ฯ จนกว่าการผลักดันจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะบรรลุผล
สำหรับผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามคำจำกัดความของกฎหมายคือ "เจ้าของที่ดิน" ทั้งบุคคลหรือคณะบุคคล ทั้งคนธรรมดา นิติบุคคล ที่มีกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้ครอบครองที่ดิน แต่หากที่ดินมีเจ้าของร่วมหลายคน ก็จะต้องรับภาระภาษีร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้กำหนดเกณฑ์ในการลดหย่อนภาษี โดยแบ่งเป็น 1.ที่ดินนอกเขตเทศบาล เขตสุขาภิบาล จะลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 ไร่ 2.ที่ดินในเขตเทศบาลตำบล หรือเขตสุขาภิบาล ลดหย่อนได้ไม่เกิน 1 ไร่ 3.ที่ดินในเขตเมืองพัทยา เขตเทศบาลอื่น ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100 ตร.ว. 4.ที่ดินในเขตกทม. ในพื้นที่ชุมชนหนาแน่นมาก ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100 ตร.ว. ที่ดินในพื้นที่หนาแน่นปานกลาง ลดหย่อนได้ไม่เกิน 1 ไร่ และที่ดินในโซนชนบท ลดหย่อนได้ไม่เกิน 5 ไร่
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1444893424
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 15 ตุลาคม 2558