รัฐกระตุ้นอสังหาฯดันสินเชื่อพุ่ง คาดโตไม่ต่ำกว่า 12.5% หวังเมกะโปรเจ็กต์เพิ่มลงทุน

Cr: มติชนออนไลน์

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทยประเมินมาตรการอสังหาฯของรัฐหนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยระยะสั้น ขยายตัวสูงสุดไตรมาส 2 ปีหน้า 16.5% ช่วงที่เหลือชะลอตัว คาดทั้งปีขยายตัวไม่ต่ำกว่า 12.5% แนะผู้บริโภคก่อหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ หวังรัฐลุยโครงสร้างพื้นฐาน 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลงทุนหลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้น

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทยประเมินว่า มาตรการอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่ออกมา ได้แก่ มาตรการทางการเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ให้สินเชื่อวงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% และมาตรการสำหรับลดหย่อนภาษีรายได้ส่วนบุคคลสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก 20% ระยะ 5 ปี จะช่วยกระตุ้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยปี 2559 ให้ขยายตัวมากกว่าปี 2558 ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาเคยนำทั้ง 3 มาตรการมาใช้แล้วในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยในปี 2554-2555 เป็นมาตรการทางการเงิน โดยให้เงินกู้กับผู้ประสบอุทกภัยในดอกเบี้ยต่ำวงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาท พร้อมกับมาตรการลดหย่อนภาษีรายได้ส่วนบุคคลสำหรับบ้านหลังแรก ส่วนมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองได้ถูกใช้เมื่อปี 2552-2553 หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกพบว่าสินเชื่อในช่วงระยะเวลามาตรการขยายตัวเร็วกว่าปกติถึง 7%

ทั้งนี้คาดว่าทั้ง 3 มาตรการ จะช่วยหนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระยะสั้นเท่านั้น โดยขยายตัวสูงที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 ที่ 16.5% และจะชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปี เพราะผู้ประกอบการและผู้บริโภคจะเร่งทำธุรกรรมในเดือนเมษายน 2559 ซึ่งเป็นเดือนที่สิ้นสุดมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง โดยจะส่งผลให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ปี 2559 ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 12.5%

ศูนย์วิเคราะห์ฯยังประเมินว่า มาตรการอสังหาริมทรัพย์อาจไปลดทอนความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตได้ โดยหนี้ครัวเรือนไทยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 80.6% ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและสร้างเสถียรภาพในการเติบโตของสินเชื่อจากการใช้มาตรการของรัฐเพื่อขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงจำเป็นที่ผู้บริโภคต้องประเมินศักยภาพของตนในการก่อหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ในอนาคต ขณะเดียวกันธนาคารต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรัฐมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท เป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยเพิ่มความความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการลงทุนใหม่ หลังจากมีการระบายสต๊อกบ้านออกไป โดยคาดว่าผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์จะขยายการลงทุนตามภายในเวลา 1-4 ไตรมาส หลังจากการลงทุนของรัฐเริ่มชัดเจน ดังนั้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจจะหมุนเวียนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งกลุ่มผู้รับเหมาและวัสดุก่อสร้าง และท้ายที่สุดจะทำให้ความต้องการสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1446971699