“สมคิด”ยื่นโจทย์ดีเวลอปเปอร์สร้างบ้านราคาถูก อสังหาฯรายใหญ่กลางเล็ก ตีปี๊บหนุนขุนคลังเดินหน้าปล่อยกู้ผ่าน 3แบงก์ “กรุงไทย-ออมสิน-ธอส.” ชมเปาะรัฐเกาถูกที่คัน หลังเห็นสัญญาณฟื้นตัวโค้งท้ายแห่จัดแคมเปญคืนกำไร ระบายสต๊อก ชิงเค้กผู้ซื้อรายใหม่ ด้านอสังหาฯภูธรโอดโอยมาตรการรัฐตกไม่ถึงท้อง
ด้วยมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์รอบใหม่ ที่เพิ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม2558 ที่ผ่านมาทั้งมาตรการทางการเงิน และมาตรการการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังนำเสนอเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ปล่อยกู้สำหรับผู้มีรายได้น้อยปานกลาง กลุ่มผู้ที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ วงเงินรวม 1หมื่นล้านบาท กำหนดระยะเวลารับคำขอและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ 19ตุลาคม2558ถึง 31ธันวาคม2559 นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เชิญผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวม 17 แห่งเพื่อรับฟังความเห็นต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
ยื่นโจทย์สร้างบ้านราคาถูก
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจกล่าวกับตัวแทนบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และรายเล็ก พร้อมด้วยสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอสังหาริมทรัพย์ สมาคมอาคารชุดและธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)ธนาคารออมสินและธอส.กว่า 17รายว่า การหารือในวันนี้ เป็นการขอความร่วมมือให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์เน้นไปที่การส่งรายชื่อผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อบ้านในระดับกลาง-บน เข้ามาให้แก่ธอส. จากเดิมบริษัทอสังหาฯ จะส่งลูกค้าที่อยู่ระดับล่างและมีความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้เสียมาให้แก่ ธอส. โดยเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงจาการขยายตัวของหนี้เสียจากการปล่อยสินเชื่อครั้งนี้ อย่างไรก็ดีหากสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาทไม่เพียงพอก็อาจพิจารณาในลำดับต่อไป
ดึงออมสิน-กรุงไทยร่วม
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังต้องการให้ธนาคารออมสินและบมจ.ธนาคารกรุงไทยร่วมปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยปัจจุบันออมสินปล่อยสินเชื่อบ้านบ้างส่วนวงเงินต่อปี 7หมื่นล้านบาทซึ่งหลังจากนี้ออมสินจะมีแพ็กเกจออกมาโดยไม่จำเป็นซ้ำกับธอส.ซึ่งออมสินยังคงมีวงเงินเหลืออีก 4.5หมื่นล้านบาทคาดว่าสิ้นปีจะมียอดสินเชื่อเป็น7-7.5หมื่นล้านบาท ส่วนแนวคิด Social Enterpriseนั้น ทั้ง 2ท่านอยากให้ผู้ประกอบการรายใหญ่พัฒนาที่ดินของรับสำหรับผู้มีรายได้น้อยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดฯวัตถุประสงค์เพื่อร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนโดยไม่หวังผลกำไรและเชื่อว่ารูปแบบจะออกมาหลังจากนี้ไป
3 สมาคมเด้งรับโละสต๊อก
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า เห็นด้วยกับมาตรการที่ออกมาในช่วงนี้ เพราะทำให้ตลาดมีความตื่นตัว จากนี้ไปเชื่อว่าเอกชนทั้งฟากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ น่าที่จะแข่งขัน รวมถึงออกแคมเปญเข้ามากระตุ้นตลาด ทำให้ตลาดบ้านและที่อยู่อาศัยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้กระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ทั้งจากมาตรการปรับลดภาษีการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01%
สำหรับบ้านที่น่าจะได้รับอานิสงส์ ได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการมีบ้าน มาจาก 3กลุ่มด้วยกัน คือ คอนโด ทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝดซึ่งมีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวถือว่ามีจำนวนที่เหลือในตลาดตอนนี้ไม่มากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปแทบทั้งสิ้น
สอดรับนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ที่ระบุว่า ตอนนี้ตลาดกำลังจับตา ซึ่งยังไม่สามารถประเมินว่าบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แต่ละแห่งจะมีบ้านหรือคอนโดยอยู่ในมือที่เตรียมพัฒนามากมายแค่ไหน แต่เชื่อว่าจะดีต่ออุตสาหกรรมอย่างมาก เนื่องจากกว่า 90% ของธุรกิจอสังหาฯ มีการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ
เช่นเดียวกับนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่หลายธนาคารมีการตื่นตัวในการให้สินเชื่อมากขึ้น ซึ่งทางสมาคมได้ประเมินว่าภายใน 1-2 สัปดาห์หน้าจะเริ่มเห็นความชัดเจนทั้งจากธนาคารต่างๆ ที่เห็นโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการขอรับสินเชื่อ ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นหลายแบงก์ จับมือกับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯมากขึ้น ซึ่งจากนี้ไปถึงสิ้นปีจะได้เห็นแคมเปญที่น่าสนใจเพิ่มขั้นอย่างมาก
ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่เข้าหารือครั้งนี้ อาทิ ผู้แทนจาก บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ. พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค , บมจ. แสนสิริ , บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ , บมจ. ศุภาลัย , บริษัท เฉลิมนคร จำกัด, บริษัท พรไพลิน กรุ๊ป จำกัด และ บริษัท โฮมบายเอร์ไกด์ จำกัด เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thansettakij.com/2015/10/20/14342
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3097 วันที่ 18 – 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558